เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สัปดาห์นี้สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เขาว่าพุทธศาสนาต้องส่งเสริมนะ แต่ความเห็นเราไม่ใช่ ส่งเสริมหัวใจของคนต่างหาก ส่งเสริมหัวใจให้เราเข้าสู่ศาสนา เราจะส่งเสริมพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสุดยอดอยู่แล้ว พระพุทธศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนี้สุดยอด ส่งเสริมหัวใจของสัตว์โลกไง ของเรานี่พวกเราเหนื่อยล้ากันมาก ทำหน้าที่การงานมาทุกข์ยากกันมาก นี่มาพักหัวใจ

พักหัวใจ ธรรมโอสถเท่านั้นเป็นที่พักหัวใจของเรา อย่างอื่นไม่มีที่พักหรอก หัวใจเรานี่เหนื่อยล้ามามาก เราทำมามาก เราเหนื่อยล้ามา คนที่เหนื่อยล้ามานอนพักผ่อนก็หาย ร่างกายถ้าเหนื่อยนักพักเดี๋ยวก็หาย แต่หัวใจมันพักไม่หาย หัวใจมันเก็บสิ่งใดมันเก็บฝังไว้ในใจทั้งนั้นแหละ แล้วสิ่งใดมันจะไปแก้ไขสิ่งนี้ได้ล่ะ? ส่งเสริมหัวใจของเราต่างหาก ส่งเสริมมนุษย์ให้เข้าสู่ศาสนาต่างหาก ไม่ใช่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสุดยอดอยู่แล้ว พระพุทธศาสนายอดเยี่ยมอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม นั่นแหละพระพุทธศาสนา พระพุทธกับพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมามีพระพุทธกับพระธรรม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดูสิไม่มีพระสงฆ์ก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว นี่ส่งเสริมพุทธศาสนา พุทธศาสนาสุดยอด ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว อย่างเรานี่ไอ้พวกตาบอด หน้ามืดตามัวไปส่งเสริมพุทธศาสนา ไปส่งเสริมกันที่ไหน? หน้ามืดตามัวยังไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย ส่งเสริมพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาของเขาเขาสุดยอดอยู่แล้ว นี้สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เห็นไหม เรามาวัดมาวากันมาเพื่ออะไร? ก็มาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติให้เข้าสู่สัจธรรม

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เรามาดูแลหัวใจของเราไง ถ้าเรามาดูแลหัวใจของเรา หัวใจนี้ทำไมต้องดูแล หลวงตาท่านพูดบ่อย หัวใจนี้มันโดนกิเลสข่มขี่มาตลอดเวลา ไม่มีใครช่วยเหลือมัน ไม่มีใครช่วยเหลือมัน เจ้าของมันคือตัวเราเองจะช่วยเหลือหัวใจของเรา หัวใจของเราเองไม่มีใครช่วยเหลือ มันไม่มีใครดูแลมันเลย ทิ้งมันไว้ไง แล้วเวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำไง นี่ส่งเสริมพุทธศาสนาก็ทำพิธีกรรมกัน ส่งเสริมพุทธศาสนาก็ทำวัฒนธรรมกัน ขวนขวายกัน เหนื่อยล้า เหนื่อยนัก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์นั่นน่ะ ไม่มีใครเลย มีระหว่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับต้นโพธิ์เท่านั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ต้นโพธิ์นี้เป็นร่มเงา ร่มเงาให้ร่างกายนี้ได้อาศัยพักผ่อน อาศัยในร่มเงานั้น ในร่างกายนี้มีหัวใจที่ปฏิสนธิจิตเกิดจากนางสิริมหามายา สิ่งนี่หัวใจนี้ หัวใจนี้มันเดือดร้อนนัก หัวใจนี้มันทุกข์ยากนัก หัวใจนี้มันแสวงหานัก หัวใจนี้ค้นคว้ามา ๖ ปีในความทุกข์ ความยากอันนั้น เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมานะ ระหว่างหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้อันนั้นไง แล้วเรามีญาณหยั่งรู้อะไรกัน

เราจะไปส่งเสริมพุทธศาสนา ไปส่งเสริมที่ไหน? ไปส่งเสริมกันในวัตถุไง เห็นไหม อิฐ หิน ทราย ปูน เวลาเขาทำนิทรรศการกันมันก็เป็นรูปภาพ มันไปคัดลอกมาจากพระไตรปิฎก แล้วเราส่งเสริม ส่งเสริมตรงไหน ส่งเสริมนี่ดีอกดีใจ คนเข้ามาดู คนเข้ามาดูนิทรรศการแล้วเขามีความปลื้มใจ เขามีความสุขใจ เขามีความอุ่นใจของเขา เขาใกล้ชิดกับพุทธศาสนา เราไปดีใจกันตรงนั้นไง วัฒนธรรมประเพณีนะ ประเพณีของท้องถิ่นใดก็ท้องถิ่นนั้น ประเพณีของเขา แต่ถ้ามีพ่อแม่ที่ดี เขาพาลูกหลานเขาเข้าวัดเข้าวาตั้งแต่ต้น เขาดูแลของเขามาตั้งแต่ต้น ดูแลตั้งแต่ต้น เขาซึมซับในหัวใจของเขา

ถ้าซึมซับในหัวใจของเขา เวลาเด็กๆ แม่ทำอย่างนั้นไม่ได้...ผิด แม่ทำอย่างนั้นไม่ได้...ผิด นี่มันซับมาจากหัวใจของมันไง นี่ผู้ใหญ่ทำอะไรผิดเด็กมันคอยเตือนนะ คอยเตือนว่าอย่างนู้นผิด อย่างนี้ผิดเพราะอะไร? เพราะมันยังผ้าขาวสะอาด มันทำสิ่งใดมันก็รู้เห็นของมันใช่ไหม แต่พอเราโตขึ้นมา เห็นไหม กิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ สิ่งนี้มันปิดหูปิดตาไง ถ้าปิดหูปิดตาเราจะส่งเสริมๆ ส่งเสริมๆ เด็กๆ ก่อน แล้วตัวเราล่ะ? ตัวเรามีสิ่งใดส่งเสริม แต่ถ้าเราจะส่งเสริมหัวใจของเรา มีศรัทธาความเชื่อ

ศรัทธาความเชื่อ เชื่อในอะไร? เชื่อในรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกเราจะเชื่อสิ่งนั้น เราเชื่อสิ่งนั้นเราพยายามทำ เราเชื่อสิ่งนั้นแล้ว ศรัทธาความเชื่อ แล้วเราต้องปฏิบัติ นี่ปริยัติ ศึกษามาแล้วมีศรัทธามีความเชื่อเราจะปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเรา เห็นไหม เวลาปฏิบัติของเรา ถ้าเราทำได้จริงจิตใจมันก็ได้พัก ถ้ามันฟุ้งซ่านขนาดไหน บริกรรมแล้วมันมีโอกาสได้พักของมัน มันจะเกิดความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ขนาดที่ว่ายิ่งมหัศจรรย์ขนาดไหนนะมันยิ่งไม่พูดกับใคร

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติขึ้นมาแล้ว นี่ใครพูดสิ่งใดก็เข้าใจ ครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าจิตใจมีคุณธรรมนะ ใครพูดเรื่องธรรมะนี่เข้าใจหมด มองหน้าเขา เขาพูดเรื่องอะไรกัน แล้วเขาจะรู้สิ่งนั้นได้อย่างใด ถ้าเขารู้สิ่งนั้นได้ ในใจของเรา เรารู้ของเราอยู่แล้ว ถ้าเรารู้ของเรา ดูสิถ้าจิตมันสงบขึ้นมา กว่าเราจะทำจิตของเราสงบขึ้นมามันขนาดไหน แล้วเวลาเราศึกษามามันเทียบเคียงกับหัวใจเราได้ เวลาเรายังค้นคว้าอยู่ เราก็คาดหมาย เราคาดหมายว่าควรจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนั้น มันจะสุดยอดอย่างนั้น แต่เวลาเป็นขึ้นมามันพูดออกมาเป็นสมมุติแทบไม่ได้เลย แล้วพูดออกมาสมมุติไม่ได้

เวลาครูบาอาจารย์ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาท่านสนทนาธรรมกันท่านสนทนาธรรมอย่างใด ท่านสนทนาธรรม พอท่านพูดถึง ผู้ที่รู้กับผู้ที่รู้สบตามันก็รู้แล้ว นี่ถ้าสบตามันรู้ คนที่สบตา เห็นไหม นี่เรายังไม่รู้ เราปฏิบัติไปแล้วเรารู้เห็น เราไปส่งการบ้านครูบาอาจารย์ นี่เราเล่าไปเป็นตุเป็นตะเลย ท่านฟังแล้วมันไม่เข้าทางเลย มันไม่ใช่เลย แต่ถ้าเราพูดถูกต้องนะ สบตาก็รู้แล้ว ถ้ามันสบตามันรู้ สิ่งนั้นเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาความจริงที่เราปฏิบัติแล้วกับที่เราศึกษามา เรารู้เราเห็นเองไง เรารู้เราเข้าใจได้เองไง

ถ้าเราเข้าใจได้เอง เวลาเขาพูดกันโดยการคาดหมาย เราฟังออก เราฟังได้ มันไม่เป็นความจริงสักนิดหนึ่ง ถ้าไม่เป็นความจริงสักนิดหนึ่ง นี่ถ้าส่งเสริมศาสนาส่งเสริมที่หัวใจของเรา ถ้ามันส่งเสริมหัวใจของเรานะ ถ้าใจของเรามันได้พักผ่อนขึ้นมา แล้วมันเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เราจะแยกได้ชัดเจนมากเลย แยกได้ว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนานี่ภาวนาอย่างไร?

ดูสิทางโลก ทางวิชาการเขา ดูสิศาสตราจารย์ต่างๆ เขาทำทางวิชาการของเขาก็เพื่อเอาทางวิชาการของเขา เพื่อให้ยอมรับของเขานะ เป็นศาสตราจารย์เขาคิดค้นคว้าเขาวิจัย เขาทำผลงานของเขามหาศาลเลย แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นไปมันเกิดศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา ปัญญาที่ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมาในหัวใจมันขนาดไหน มันแตกต่างกับทางวิชาการ ทางโลกขนาดไหน ทางวิชาการทางโลกมันเป็นประโยชน์นะ มันเป็นประโยชน์กับคุณภาพชีวิต เพราะทางวิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมา คุณภาพชีวิตของพวกเราสะดวกสบายขึ้น สะดวกสบายขึ้น แต่สะดวกสบายขึ้น แล้วความกังวลในใจ สิ่งต่างๆ ที่ในหัวใจมันสามารถสำรอกคายออกไปได้ไหม?

นี่ถ้ามันเป็นแบบนั้นมันก็เป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางโลก มันมีประโยชน์กับทางโลก แต่มันไม่มีประโยชน์กับจิตใจ จิตใจปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิด มันไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย มันมีประโยชน์ถ้าเราทำคุณงามความดีขึ้นมา เราวิจัยขึ้นมาแล้วเป็นประโยชน์ สังคมเขาได้ใช้สอยนั้นก็เป็นบุญ ถ้าเป็นบุญอย่างนั้นบุญก็พาให้จิตนี่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่สูงขึ้น เพราะมีบารมีเขาได้ใช้สมบัติของเรา เขาได้ใช้วิชาการของเราที่เป็นประโยชน์กับเรา เขาได้ใช้ขึ้นมา นี่คุณงามความดีอันนี้ก็ตกแก่ใจของเรา มันก็เป็นอามิส มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา เวลาจิตมันสงบแล้วมันไปรู้ไปเห็น

ไปรู้ไปเห็นนะ เวลาทางวิชาการที่เขาวิจัยกัน เขาวิจัยกันทางสถิติ เขาวิจัยกันทางข้อมูลของเขา นี่เขาส่งออกไป เขาส่งออกไปเขาถึงวิจัยของเขาได้ ถ้าไม่ส่งออกมันจะวิจัยได้อย่างไร? แต่ถ้ามันจิตสงบเข้าไปแล้วมันไม่ได้ส่งออก นี่สัมมาทิฏฐิมันเข้าสู่ภายใน มันทวนกระแสกลับเข้าไปในหัวใจ แล้วในหัวใจเกิดมรรคญาณ เกิดธรรมจักร นี่อาสวักขยญาณที่มันทำลายในหัวใจของมัน ดูสิทางวิชาการที่เขาจะทดสอบ เขาจะทำวิจัยเขาต้องมีห้องแล็บของเขา ห้องแล็บของเขา เขาต้องทำวิจัยของเขาในห้องแล็บในอวกาศเพื่อไม่ให้มีแรงโน้มถ่วง เขาต้องหาความสุขขนาดนั้น แต่เวลาที่จิตมันย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ มันเกิดภาวนามยปัญญา

ปัญญาที่เกิดขึ้นในหัวใจ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? คนไม่รู้ไม่เห็นพูดได้อย่างไร? ถ้าคนไม่รู้ ไม่เห็นแล้วจะไปส่งเสริมพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพุทธศาสนามันส่งออกทั้งนั้นแหละ แต่สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆ ส่งเสริมพระพุทธศาสนานั้นเป็นวัฒนธรรม แต่ถ้าเราจะส่งเสริม ดูสิในสมัยครูบาอาจารย์ของเรา เวลามีงานมีการขึ้นมาเขาจะเอาภาวนาเป็นหลัก เอาภาวนาเป็นหลักเพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้ศาสนทายาท ศาสนทายาทนะ ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าใครมีสติมีปัญญา ทุกข์ยากมาขนาดไหน แล้วมีสติปัญญายับยั้งสิ่งที่เป็นความทุกข์ สิ่งที่เหยียบย่ำหัวใจของเรา ถ้ามันสำรอกมันคายออกเราจะซาบซึ้ง

นี่มีธรรมเป็นที่พึ่ง สิ่งที่มีคุณธรรมอย่างนี้มันทำให้จิตใจเราสงบระงับได้ นี่สงบระงับได้ นี่ไงถ้ามันซาบซึ้ง ศาสนทายาทมันรู้ของมันอย่างนี้ ถ้ามีสติมันก็ยับยั้งของมันได้แล้ว แล้วถ้าเกิดบริกรรมพุทโธ พุทโธต่อเนื่องกันไป ถ้ามันสงบขึ้นมาเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้ามันไม่มีความสุขไม่มีความสงบขึ้นมาอย่างนี้มันจะติดได้อย่างไร? เพราะคนเราสงบแล้วก็ติดว่านี่คือนิพพาน นี่คือนิพพาน นี่วุฒิภาวะของจิตของเรามันมีเท่านี้ วุฒิภาวะของโลกมันมีเท่านี้

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทกดาบส อาฬารดาบส เจ้าชายสิทธัตถะทำสมาบัติ ๘ ได้เหมือนเรา มีความรู้เหมือนเรา มีปัญญาได้เหมือนเรา เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อเลย เพราะอะไร? เพราะมันคลายออกมาแล้วมันก็ทุกข์ แต่ของเราเวลาเราเป็นสมาธิเข้าไปแล้ว เวลาเราสงบแล้ว นี่คือนิพพาน นี่คือนิพพาน วุฒิภาวะของใจเรามันอ่อนแอมาก วุฒิภาวะของใจของเราไม่มีบารมีเลย ไม่มีพละไม่มีกำลังเลย เราถึงไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าอะไรจริงอะไรปลอม เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังแยกแยะได้

นี่ถ้าแยกแยะได้นะ ถ้ามันติดอย่างนั้น ถ้ามีครูบาอาจารย์ ศีล สมาธิ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา พอเกิดสมาธิที่ว่าสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตสงบแล้วมันออกทำการงาน จิตสงบแล้วลากออกไปใช้วิปัสสนา พอมันออกไปวิปัสสนามันเกิดภาวนามยปัญญา โอ๋ย มันจะมหัศจรรย์ขนาดไหน นี่สัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนา ศาสนทายาท เวลาครูบาอาจารย์เราท่านส่งเสริมให้ประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันส่งเสริมหัวใจของมัน เราส่งเสริมหัวใจของเราต่างหาก ส่งเสริมหัวใจของเราเข้าสู่พุทธศาสนา

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เกิดที่ไหน? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เกิดที่ใจ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ตอนนี้มันไม่เบิกบานสิ มันเศร้า มันเหงา มันหงอย เพราะกิเลสมันครอบงำมันไง พอกิเลสมันเศร้า มันเหงา มันหงอย เราไม่มีทางออก เราก็มาทำวิจัยกัน เราก็มาศึกษากัน ศึกษามาทำไม? ศึกษามาทำไม? ปริยัติก็ศึกษามาปฏิบัติ ปริยัติศึกษามาแล้วเอามาปฏิบัติ ไม่ใช่ปริยัติศึกษาแล้วเอามาเป็นความรู้ของเรา ความรู้ของเราเดี๋ยวก็ลืม สัญญาความจำ เดี๋ยวก็จำได้ เดี๋ยวก็ลืมของมันไป

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลามันเกิดขึ้นมา นี่ดูสิเวลาพิจารณาของเราไปเกิดธรรมจักรเวลาพิจารณาไปมันปล่อยวาง พอปล่อยวางตทังปคหานชั่วคราวๆ ชั่วคราวก็ยังสงสัยอยู่ ยังสงสัยอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะปล่อยวางชั่วคราวมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์อยู่แล้วเราก็ติดอีก ติดอีกหมายความว่า พอมันปล่อยแล้วเขาว่างานนี้จบแล้ว มันไม่ทำงานต่อเนื่องไง แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านให้ซ้ำของท่านไป ถ้ามันปล่อยแล้วมันก็จับได้อีก ปล่อยแล้วมันยังมีอยู่ไง ถ้ามันยังไม่ขาดมันยังมีเชื้อมีไขอยู่ ถ้าจับได้พิจารณาต่อเนื่องไปๆ ถึงเวลามันขาด อกุปปธรรม เห็นไหม

ถ้ามันขาดอย่างนี้ นี่ส่งเสริมพุทธศาสนา ถ้าจิตอย่างนี้มันเป็นอกุปปธรรม มันมีคุณธรรมจริงในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมจริงในหัวใจมันเกิดจากอะไรล่ะ? นี่มันเกิดจากอะไร? เกิดจากความพอดี มัชฌิมาคือความพอดี เห็นไหม ความพอดีของมัน มัชฌิมาปฏิปทา สิ่งที่มรรคสามัคคีมันสมดุลของมัน มันพอดีของมัน พอดีของมัน เวลาถ้ามันปล่อยวางมันพอดี มันไม่พอดีมันปล่อยวางได้อย่างไร? มันปล่อยวางแล้วแต่ความพอดีมันไม่แนบแน่น ไม่แนบแน่นมันปล่อยแล้วมันยังเหลือเศษส่วนอยู่ไง ปล่อยความสงสัย ปล่อยวิตกกังวล ปล่อยทุกๆ อย่างเลย แต่เชื้อไขมันยังมีอยู่

นี่สายสัมพันธ์ยังมีอยู่ ก็ซ้ำเข้าไปๆ จนถึงที่สุดการปล่อยแล้ว สายสัมพันธ์ทุกอย่าง ทุกอย่างขาดหมด ทิฐิความเห็นผิดมันขาดไป สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาดของมันไป พอมันขาดของมันมันเป็นอย่างไร? นี่ส่งเสริมๆ กันอย่างนี้ ส่งเสริมเพราะหัวใจของเรา ส่งเสริมเพราะคุณธรรมอันนี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ที่เรามาตรากตรำกันอยู่นี้ เห็นไหม ดูสิหน้าที่การงานของใคร ใครทำงานก็ต้องตรากตรำทั้งนั้นแหละ เวลาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย เพื่อความมั่นคงของชีวิต เราก็หาของเรา

คนเราจะดีจะชั่วเขาดูกันที่นี่ ดูความขยันหมั่นเพียร ดูความรับผิดชอบ ดูสติปัญญา เพราะเขาทำงาน งานจะบอกเลยว่าคนๆ นี้รอบคอบขนาดไหน คนๆ นี้สะเพร่าขนาดไหน คนๆ นี้ทำความขาดตกบกพร่องขนาดไหน งานมันจะฟ้องถึงวุฒิภาวะ ถึงใจดวงนั้น แล้วเราทำงานของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เราทำงานเพื่อจะดำรงชีวิต เรามีโอกาสเราก็ภาวนาของเรา ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะยืนที่ไหน จะนอนที่ไหน จะนั่งที่ไหน มันมีลมหายใจตลอดเวลาไง

เราตั้งสติของเราไว้ นี่งานอย่างนี้ไม่ต้องไปแบกหามที่ไหน ไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงดีกับใคร ทุกข์ก็ทุกข์ของเรา ลมหายใจก็ลมหายใจของเรา เวลาเรามีสติขึ้นมาก็เป็นอานาปานสติ เราขาดสติขึ้นมาก็ต้องหายใจอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะการหายใจนี้หายใจเพื่อดำรงชีวิต ต้องขาดออกซิเจนไม่ได้ นี่ขาดออกซิเจนไม่ได้มันก็หายใจของมัน แต่หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจแบบโลก หายใจแบบความดำรงชีวิต แต่ถ้ามีสติระลึกรู้ อานาปานสติเกิดขึ้นตรงนี้ นี่เรากำหนดพุทโธ พุทโธ เราจะเดินไปไหน เราทำสิ่งใดเรามีพุทโธของเราตลอดไป เราจะดูแลหัวใจของเราไง เราจะส่งเสริมหัวใจของเราไง

นี่ในเมื่อเป็นปัญหาสังคมก็ปัญหาสังคม สังคมอยู่ด้วยกันเราก็อยู่กับปัญหาสังคมนี้ แต่หัวใจของเรา เราพยายามพัฒนาของเรา เพราะมันเป็นทรัพย์สมบัติของเรา เป็นความดีความงามของเรา เป็นเรื่องส่วนตัวของเรา เราทำของเราไป อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนทำได้ ตนทำได้มันมีข้อเท็จจริง มีข้อเท็จจริงคืออะไร? เพราะตนทำได้นะเราจะเผยแผ่ใครก็ได้ เราจะบอกใครก็ได้ ถ้าเรามีความจริงของเรา ถ้ากิริยาอันนั้นถ้ามีใครเขาแสวงหา เขาต้องการ นี่เขาไม่ต้องวิ่งอ้อมโลกไปเพื่อไปหาคุณธรรมไง เขาไปหาผู้รู้ ผู้รู้บอกเขาทีเดียวเขาไม่ต้องไปติดอยู่นานไง เวลาติดอยู่นาน เห็นไหม

๑. ทำให้เราฟั่นเฝือได้

๒. ถ้าเราติดอยู่นานทำให้เราฟั่นเฝือได้ ถ้าเรายังมั่นใจของเรามันผิดพลาดได้ไง มันออกนอกลู่นอกทางไปเลย

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว มีผู้รู้อยู่แล้ว เขาพยายามชี้นำเราแล้ว เขาจะดึงเราเข้าทางเลย ถ้าดึงเราเข้าทาง ดึงแล้วเราเชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ? ไม่เชื่อก็ตรากตรำไปก่อนไง ไม่เชื่อก็อ้อมโลกไป ไปดวงอาทิตย์แล้วกลับมาใหม่ เพราะทำไปมันผิดพลาดไง มันไม่ได้ แต่เพราะมันไปอ้อมโลกแล้ว ถ้ามันเหนื่อยล้า มันไปไม่ได้นะเดี๋ยวมันก็มาเข้าช่องนี้

อริยสัจมีหนึ่งเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา มีหนึ่งเดียวเท่านั้น จะอ้อมโลกไปไหน จะไปไหนนะถ้าไม่ทวนกระแสกลับมาที่ใจของตัวมันก็ส่งออกทั้งนั้นแหละ ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์จะคอยบอกอย่างนี้ ครูบาอาจารย์คอยชักนำอย่างนี้ ถ้าชักนำอย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์มีผู้นำที่ดี ถ้าเราปฏิบัติ เรามีผู้นำที่ดี เราปฏิบัติของเราให้ขึ้นมาได้ ถ้าเราปฏิบัติไปส่งเสริมหัวใจของเราเป็นศาสนทายาท

ฉะนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติของเราพยายามดูแลหัวใจของเรา เวลาโลกเขาแสวงหากันมา เขาแสวงหาเขาต้องพยายาม หน้าที่การงานของเขาบีบคั้นเขา เขามีความทุกข์ของเขา เขาวางของเขาไม่ได้เขาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต พระเรา พระเราบวชมาแล้วปัจจัย ๔ ถ้าเราบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง เราทำคุณงามความดีของเรา นี่การส่งเสริมของสังคม การส่งเสริมของสังคมเขาจะได้บุญของเขา สิ่งปัจจัย ๔ เราไม่ต้องเดือดร้อนเลย ถ้าเราไม่ต้องเดือดร้อนเลยเราก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียร เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรของเรา ทำหัวใจของเรา ศาสนทายาท ส่งเสริมหัวใจของเราให้มีคุณธรรมขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาจะเป็นประโยชน์กับเราก่อน เป็นประโยชน์กับเราแล้วก็เป็นประโยชน์กับทุกๆ คนนะ

นี่ส่งเสริมพุทธศาสนาส่งเสริมที่หัวใจของเรา ร่างกายนี้เวลามันเหนื่อยมันล้าก็พัก พักเดี๋ยวก็หาย แต่หัวใจเวลามันทุกข์มันยากนะข้ามภพข้ามชาติ จริตนิสัยมันมาจากไหน มันมาจากการกระทำของเรา กรรมของเรามันแต่งพันธุกรรมมา จิตใจเราเป็นแบบนี้ แล้วนี่ถ้าทำดีขึ้นมา ดูสิพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำดีมาทั้งนั้น เสียสละเป็นพระเวสสันดรเสียหมดเลย เสียสละทุกๆ อย่างเลยเพื่อโพธิญาณๆ เพื่อหัวใจที่มั่นคง ของเราก็ได้เสียสละของเรามา ถ้าไม่ได้เสียสละของเรามานะเราจะไม่ไปวัดไปวา

คนที่ไปวัดไปวานะ ทางโลกเดี๋ยวนี้เขาไปวัดไปวาคนนั้นเสื่อมค่า เขาบอกว่าเขาอยู่บ้านอยู่เรือนของเขาด้วยสะดวกสบายของเขา เขาจะนอนตีแปลงอย่างไรเขาก็มีความสุขของเขา ไอ้พวกนี้คนขี้ทุกข์ ต้องกระเสือกกระสนไปวัด แต่ถ้าในมุมกลับ กระเสือกกระสนไปวัดเพราะอะไรล่ะ? เพราะเรามีสติมีปัญญา เราจะแยกแยะ เราจะค้นคว้าหาความจริงของเรา นี่เราต่างหาก เราต่างหากเป็นผู้มีสติมีปัญญา เราต่างหากที่แสวงหาค้นคว้าของเขา

เขาว่าเขามีความสุขของเขา เขานอนจมอยู่นั่นเขาไม่ได้อะไรเลย เขาอยู่ของเก่าของเขา เขาสร้างมาแค่นั้น เขาอยู่แค่นั้น แต่ของเรานี่เราทำมาขนาดไหน เราเสมอเขาหรือดีกว่าเขาด้วย แต่เรายังแสวงหาต่อไป เรายังค้นคว้าต่อไป เรายังทำต่อๆ ไป แต่เขาบอกว่าเราเป็นคนที่อาภัพวาสนา เราจะต้องขวนขวาย เขาไม่ต้องขวนขวาย เขาอยู่สุขสบายของเขา

ไอ้นั่นมันลมปาก ไอ้นั่นกิเลสมันกล่อม ไอ้ของเรามันมีสติมีปัญญาเราถึงแสวงหาของเรา เราพยายามของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับหัวใจนี้ รักษาใจของเรา นี่โลกธรรม ๘ มันรุนแรงขนาดไหน ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม เพราะเราได้ศึกษา เราได้ค้นคว้า แล้วเราเอาสิ่งนี้เป็นสมบัติของเรา เอวัง